การแบ่งปันทรัพยากรในเรื่องข่าวประเสริฐ

สถานที่จัดงานและที่พักสำหรับการประชุมผู้นำของเราในย่านใจกลางเมืองชิคาโกนั้น แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับความขาดแคลนที่ผมเห็นระหว่างทางไปที่นั่น ความขาดแคลนเหล่านี้รวมไปถึงคนที่ขาดแคลนอาหารและที่พักพิงขั้นพื้นฐาน ความแตกต่างนี้ช่วยให้ผมสามารถนึกภาพและระบุสิ่งที่เราจำเป็นต้องรวบรวมไว้ในการวางแผนงานเพื่อรับใช้ทั้งในเมืองและที่อื่นๆได้อย่างชัดเจน เพื่อรวบรวมทรัพยากรในเรื่องข่าวประเสริฐ (คือทุกสิ่งที่พระเจ้าประทานให้เพื่อช่วยเผยแพร่ข่าวแห่งความรักและความรอดของพระเจ้า) ไปยังสถานที่ซึ่งมีความต้องการที่สุด

ขณะที่เปาโลเขียนจดหมายถึงผู้เชื่อชาวโรมัน ท่านยังไม่เคยไปเยี่ยมพวกเขา แต่ปรารถนาอย่างยิ่งที่จะไปโดยกล่าวว่า “ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะได้พบท่านทั้งหลาย เพื่อจะได้นำของประทานฝ่ายวิญญาณจิตมาให้...เพื่อเสริมกำลังท่าน...และ...ได้หนุนใจซึ่งกันและกัน โดยความเชื่อของเราทั้งสองฝ่าย” (รม.1:11-12) อัครทูตมุ่งหวังการ “แลกเปลี่ยนของประทาน” ที่จะเป็นประโยชน์ต่อท่านและผู้อื่นขณะที่พวกเขาต่างมีชีวิตเพื่อพระเยซูและรับใช้ผู้อื่น

ทรัพยากรที่เรามีนั้นรวมถึงของประทานฝ่ายวิญญาณและทรัพยากรที่เป็นวัตถุซึ่งพระเจ้าประทานแก่เรา ขอให้เรายอมที่พระองค์จะทรงใช้เราในการเผยแพร่ข่าวประเสริฐแก่ผู้คนด้วยความรักเมตตา และเมื่อพระเจ้าทรงเสริมกำลังเรา ขอให้เราเปิดใจ เปิดปาก และเตรียมมือของเราในการรับใช้ผู้อื่น ขอให้เราทำโดย “ไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด”(ข้อ 16)

ชัยชนะของความเมตตาในพระคริสต์

เมื่อแจ็คกี้ โรบินสันนักเบสบอลผิวดำคนแรกลงเล่นในเมเจอร์ลีกที่สนามไชบ์ปาร์คเมืองฟิลาเดลเฟีย ในวันที่ 9 พฤษาคม ค.ศ. 1947 ดอริสวัยสิบขวบนั่งอยู่ที่อัฒจันทร์ชั้นบนกับพ่อของเธอ ต่อมามีชายผิวดำสูงวัยคนหนึ่งเดินมาตามช่องทางเดินและนั่งลงข้างพวกเขา พ่อของเธอเป็นคนเริ่มชวนเขาพูดคุย ดอริสเล่าว่าบทสนทนาเรื่องการเก็บแต้มของพวกเขานั้นทำให้เธอรู้สึกราวกับว่า “โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว” เธอพูดเพิ่มเติมว่า “ฉันไม่เคยลืมชายคนนั้นและใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเขา” ปฏิสัมพันธ์ที่น่ายินดีระหว่างเด็กผู้หญิงผิวขาวกับชายสูงวัยใจดีที่เคยมีพ่อเป็นทาสได้จุดประกายความสว่างในวันนั้น

แต่โรบินสันต้องพบเจอกับพฤติกรรมที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงในการแข่งขันนัดอื่นๆในฤดูกาลเดียวกัน เขาเล่าว่า “ในแง่ของเชื้อชาติ พวกเขาตะคอกใส่ผมในทุกๆเรื่อง มันเลวร้ายมาก”

การประพฤติที่ชั่วร้ายไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงในสนามกีฬาเท่านั้น ในบ้าน ชุมชน ที่ทำงาน หรือแม้แต่คริสตจักรก็อาจเป็นพื้นที่ซึ่งความน่าเกลียดน่าชังมีชัยชนะได้ อย่างไรก็ตามเหล่าผู้ที่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงสำแดงความเมตตาผ่านพระบุตรของพระองค์ (ทต.3:4) ได้รับการทรงเรียกให้แสดงความเมตตาเช่นเดียวกับพระองค์ เปโตรเขียนไว้ว่า “ท่านทั้งหลายจงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เห็นอกเห็นใจกัน รักกันฉันพี่น้อง มีจิตใจอ่อนโยนและอ่อนน้อม อย่าทำการร้ายตอบแทนการร้าย อย่าด่าตอบการด่า” (1 ปต.3:8-9) ความเมตตาจะมีชัยชนะ เมื่อผู้ที่ได้รับความเมตตาจากพระเจ้า จะแบ่งปันความเมตตานั้นแก่ผู้อื่นด้วยใจกว้างขวางตามการช่วยเหลือของพระวิญญาณ

เหมาะสมสำหรับพระเยซู

ในบรรดาเรื่องท้าทายในวัยเด็กของเอริคนั้นมีทั้งโรคผื่นผิวหนังขั้นรุนแรง สร้างปัญหาในโรงเรียน และการเมาเหล้าหรือยาเสพติดทุกวันตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงกระนั้น คนที่เรียกตัวเองว่าเป็น “ราชาแห่งความชั่วร้าย” ยังค้นพบว่าตัวเองเก่งกีฬาเบสบอล จนกระทั่งเขาเลิกเล่นเบสบอลเมื่อรู้สึกท้อแท้จากการถูกเลือกปฏิบัติ ซึ่งทำให้เขายิ่งมีเวลามากขึ้นเพื่อไปใช้ยาและขายยา

แต่สถานการณ์ของเอริคเปลี่ยนไปเมื่อเขาได้มีประสบการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตกับพระเยซูขณะนมัสการที่คริสตจักรแห่งหนึ่ง เมื่อไปทำงานในวันต่อมา มีผู้เชื่อที่อุทิศตัวคนหนึ่งชวนเอริคไปร่วมนมัสการที่คริสตจักรอีกแห่งหนึ่ง ที่ซึ่งเขาได้ยินถ้อยคำหนุนใจในความเชื่อใหม่ที่เขาพบ “ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” (2 คร.5:17) ชีวิตของเอริคไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เซาโลแห่งเมืองทาร์ซัส(ที่รู้จักในชื่อเปาโล) ก็ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในพวก “ตัวตึง” เช่นเดียวกับเอริค ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นตัวเอก” ในพวกคนบาป (1ทธ.1:15) ท่านเคยเป็น “คนหลู่พระเกียรติ ข่มเหง และทำการหมิ่นประมาทพระองค์” (ข้อ13) เอริคก็เป็นคนที่เหมาะสมสำหรับพระเยซู เช่นเดียวกับเซาโล และพวกเราก็เช่นกัน แม้เราจะไม่คิดว่าตัวเองเหมือนเซาโลหรือเอริค แต่เพราะ “ทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า” (รม.3:23) พวกเราทุกคนจึงเป็นคนที่เหมาะสมสำหรับพระเยซู

การดูแลในพระคริสต์

ดเวย์นเพื่อนของผมมีคุณแม่ชื่อชาร์ลีน เธออายุเก้าสิบสี่ปี สูงไม่เกินหนึ่งร้อยห้าสิบสองเซนติเมตรและหนักไม่ถึงสี่สิบห้ากิโลกรัม แต่สิ่งนี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการดูแลลูกชายของเธอผู้ซึ่งมีสภาพร่างกายที่ไม่เอื้อต่อการดูแลตนเอง ผู้ที่ไปเยี่ยมบ้านสองชั้นของพวกเขามักจะพบว่าชาร์ลีนอาศัยอยู่บนชั้นสอง และจะค่อยๆลงบันไดสิบหกขั้นมายังชั้นหนึ่งเพื่อต้อนรับแขก เช่นเดียวกับที่เธอทำในการดูแลลูกชายที่เธอรัก

ความมุ่งมั่นอย่างไม่เห็นแก่ตัวของชาร์ลีนทำให้ผมประทับใจ ผมได้รับการท้าทายและแรงบันดาลใจจากการที่เธอให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของลูกชายมากกว่าของตัวเธอเอง เธอเป็นแบบอย่างในสิ่งที่เปาโลหนุนใจไว้ในฟีลิปปี 2 ว่า “จง​มี​ใจ​ถ่อม​ถือ​ว่า​คน​อื่น​ดีกว่า​ตัว อย่า​ให้​ต่าง​คน​ต่าง​เห็น​แก่​ประโยชน์​ของ​ตน​ฝ่าย​เดียว แต่​จง​เห็น​แก่​ประโยชน์​ของ​คน​อื่นๆด้วย” (ข้อ 3-4)

การดูแลผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพหรือความต้องการอื่นๆอาจมีค่าใช้จ่ายที่สูง ความจำเป็นต่างๆในชีวิตอาจทำให้เรารู้สึกเครียดและกดดัน และแม้แต่คนที่อยู่ใกล้เราที่สุดก็อาจต้องรับผลกระทบหากเราไม่ได้ตั้งใจมุ่งมั่นที่จะมองข้ามความต้องการของตัวเราเอง แต่การเอาใจใส่ดูแลอย่างถ่อมใจคือสิ่งที่ผู้เชื่อในพระเยซูถูกเรียกให้ทำ (ดูข้อ 1-4) เมื่อเราอุทิศตนเอง เราก็ได้ทำตามแบบอย่างของพระเยซูและได้ช่วยเหลือผู้อื่นไปด้วย อัครทูตท่านนี้เตือนเราว่า “ท่าน​จง​มี​น้ำใจ​ต่อ​กัน​เหมือน​อย่าง​ที่​มี​ใน​พระ​เยซู​คริสต์​” (ข้อ 5)

จำเป็นที่จะต้องเล่า

“รู้ไหมว่าพระเยซูรักคุณ พระองค์รักคุณจริงๆ” นั่นคือคำพูดสุดท้ายของจอห์น ดาเนียลส์ เพียงไม่กี่วินาทีหลังจากที่เขาให้เงินแก่ชายจรจัดคนหนึ่งและกล่าวคำพูดนั้น เขาถูกรถชนและเสียชีวิตทันที ในระเบียบการสำหรับพิธีรำลึกถึงชีวิตของจอห์นมีข้อความเขียนไว้ว่า “เขาต้องการรู้ว่าจะเข้าถึงผู้คนให้มากขึ้นได้อย่างไร ดังนั้นในบ่ายวันอาทิตย์ขณะพยายามช่วยเหลือชายคนหนึ่งที่ขัดสน พระเจ้าก็ได้ประทานหนทางให้เขาเข้าถึงคนทั่วโลก ทีวีท้องถิ่นทุกช่องนำเสนอข่าวนี้ และข่าวนี้ไปถึงเพื่อนๆ ครอบครัว และคนอื่นๆ มากมายทั่วประเทศ”

แม้ว่าจอห์น ดาเนียลส์จะไม่ใช่นักเทศน์ แต่เขารู้สึกถึงความจำเป็นที่ต้องเล่าเรื่องพระเยซูให้คนอื่นฟัง เปาโลก็เช่นกัน ในกิจการ 20 อัครทูตเปาโลแสดงออกถึงความร้อนรนในข่าวประเสริฐในคำกล่าวอำลาผู้นำคริสตจักรที่เมืองเอเฟซัสว่า “ใน​ชีวิต​ของ​ข้าพเจ้า​ขอ​ทำ​หน้าที่​ให้​สำเร็จ​ก็​แล้ว​กัน และ​ทำ​การ​ปรนนิบัติ​ที่​ได้รับ​มอบหมาย​จาก​พระ​เยซู​เจ้า คือ​ที่​จะ​เป็น​พยาน​ถึง​ข่าว​ประเสริฐ ซึ่ง​สำแดง​พระ​คุณ​ของ​พระ​เจ้า​นั้น” (ข้อ 24)

ข่าวประเสริฐเรื่องการอภัยโทษและชีวิตใหม่ในพระเยซูนั้นเป็นข่าวดีเกินกว่าจะเก็บไว้และไม่บอกคนอื่น ผู้เชื่อบางคนมีทักษะในการอธิบายพระกิตติคุณได้ดีกว่าผู้เชื่อบางคน แต่ด้วยความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทุกคนที่เคยประสบกับฤทธิ์เดชแห่งข่าวประเสริฐซึ่งเปลี่ยนแปลงชีวิตต่างก็สามารถบอกเล่าเรื่องราวความรักของพระเจ้าในชีวิตของพวกเขาได้

พูดคุยต่อพระพักตร์พระเจ้า

ปี2022 เป็นปีที่พิเศษมากสำหรับผมและภรรยา นั่นคือปีที่โซเฟีย แอชลีย์หลานสาวของเราเกิด เธอเป็นหลานสาวคนเดียวในบรรดาหลานแปดคน ปู่ย่าของโซเฟียยิ้มไม่หยุด! เมื่อลูกชายของเราโทรผ่านวิดีโอคอล ความตื่นเต้นก็เพิ่มมากขึ้นไปอีก ผมกับภรรยาอาจอยู่คนละห้องกัน แต่เสียงร้องดังด้วยความสุขของเธอบอกให้รู้ว่าเธอได้เห็นหน้าโซเฟียแล้ว ในปัจจุบันนี้แค่โทรหรือกดเพียงปุ่มเดียวเท่านั้น เราก็ได้เห็นคนที่รักซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปแล้ว

การที่เราได้เห็นหน้าคนที่เรากำลังคุยโทรศัพท์ด้วยนั้นค่อนข้างจะเป็นเรื่องใหม่ แต่การพูดคุยต่อพระพักตร์พระเจ้าด้วยการอธิษฐานโดยตระหนักถึงการทรงสถิตของพระองค์นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่เลย ในสดุดี 27 ดาวิดอธิษฐานท่ามกลางศัตรู เพื่อทูลขอความช่วยเหลือซึ่งเกินความสามารถที่คนใกล้ชิดที่สุดจะช่วยได้ (ข้อ 10-12) โดยรวมถึงถ้อยคำต่อไปนี้ “พระองค์ตรัสแล้วว่า ‘จงหาหน้าของเรา’ จิตใจของข้าพระองค์ทูลพระองค์ว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์แสวงพระพักตร์ของพระองค์’” (ข้อ 8)

ช่วงเวลาที่ยากลำบากจะบังคับเราให้ “แสวงพระพักตร์พระองค์” (ข้อ 8) แต่นั่นไม่ใช่ช่วงเวลาเดียวที่เราควรจะร่วมสามัคคีธรรมหน้าต่อหน้ากับผู้ซึ่ง “พระพักตร์พระองค์มีความชื่นบานอย่างเปี่ยมล้น” ที่ “ในพระหัตถ์ขวาของพระองค์มีความเพลิดเพลินอยู่เป็นนิตย์” (16:11) หากคุณตั้งใจฟังอย่างใกล้ชิด คุณอาจได้ยินพระองค์ตรัสในเวลาใดก็ได้ว่า “จงหาหน้าของเรา”

สมรรถภาพฝ่ายวิญญาณ

เทรเข้าฟิตเนสเป็นประจำและนั่นทำให้เห็นผลที่เกิดขึ้น ไหล่ของเขากว้าง มัดกล้ามของเขาเด่นชัด และต้นแขนของเขามีขนาดใกล้เคียงกับต้นขาของผม สภาพร่างกายของเขาทำให้ผมอยากชวนเขาคุยในเรื่องฝ่ายวิญญาณ ผมถามเขาว่าความมุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อจะมีร่างกายที่แข็งแรงสะท้อนถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างเขากับพระเจ้าด้วยหรือไม่ ถึงแม้เราจะไม่ได้คุยเจาะลึกมากนัก แต่เทรรับรู้ถึง “พระเจ้าในชีวิตของเขา” เราคุยกันนานพอที่เขาจะให้ผมดูรูปตอนที่เขาหนักร้อยแปดสิบกว่ากิโลกรัม ไม่แข็งแรงและสุขภาพย่ำแย่ การเปลี่ยนวิถีชีวิตของเขาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายอย่างมหัศจรรย์

1 ทิโมธี 4:6-10 เกี่ยวข้องกับการฝึกฝนทางร่างกายและจิตวิญญาณ “จง​ฝึก​ตน​ใน​ทาง​ธรรม​ เพราะ​ถ้า​การ​ฝึก​ทาง​กาย​นั้น​มี​ประโยชน์​อยู่​บ้าง ทาง​ของ​พระ​เจ้า​ก็​มี​ประโยชน์​ใน​ทุก​ทาง เพราะ​ทรง​ไว้​ซึ่ง​ประโยชน์​สำหรับ​ชีวิต​ปัจจุบัน​และ​ชีวิต​อนาคต​ด้วย​” (ข้อ 7-8) สมรรถภาพฝ่ายร่างกายภายนอกของเราไม่ได้ทำให้สถานภาพระหว่างเรากับพระเจ้าเปลี่ยนไป สมรรถภาพฝ่ายวิญญาณนั้นเป็นเรื่องของจิตใจ ซึ่งเริ่มต้นด้วยการตัดสินใจที่จะเชื่อในพระเยซูผู้ทรงทำให้เราได้รับการยกโทษ จากจุดนั้นการฝึกฝนเพื่อดำเนินชีวิตที่ชอบธรรมจึงเริ่มต้นขึ้น ซึ่งรวมถึงการ “เจริญ​ด้วย​คำ​สอน​แห่ง​ความ​เชื่อ และ​ด้วย​หลักธรรม​อัน​ดี​...” (ข้อ 6) และการดำเนินชีวิตโดยพระกำลังของพระเจ้าเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระบิดาในสวรรค์ของเรา

บนเส้นทางที่อันตราย

ระหว่างที่เดินออกกำลังในยามเช้า ผมสังเกตเห็นว่ามีรถจอดอยู่บนถนนในทิศทางที่ไม่ถูกต้อง คนขับไม่ทราบถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตนเองและผู้อื่น เนื่องจากเธอกำลังหลับและดูเหมือนจะเมาด้วย สถานการณ์นี้เป็นอันตรายจนผมต้องทำอะไรบางอย่าง ผมพยายามปลุกเธอให้ตื่นและย้ายเธอไปนั่งในฝั่งของผู้โดยสาร เพื่อผมจะเข้าไปยังที่นั่งคนขับและขับรถพาเธอไปยังที่ปลอดภัย

เราไม่ได้เผชิญกับอันตรายทางด้านร่างกายเท่านั้น ที่กรุงเอเธนส์เมื่อเปาโลเห็นคนที่มีปัญญาของโลกตกอยู่ในอันตรายฝ่ายวิญญาณเพราะ “รูปเคารพเต็มไปทั้งเมือง” ท่านรู้สึก “เดือดร้อนวุ่นวายใจ” (กจ.17:16) ท่านตอบสนองต่อผู้คนที่หลงไปกับแนวคิดที่ไม่นับถือพระคริสต์ โดยการเล่าถึงพระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงมีในพระเยซูและผ่านทางพระเยซู (ข้อ18,30-31) และบางคนที่ได้ยินก็เชื่อ (ข้อ 34)

การแสวงหาความหมายสูงสุดของชีวิตที่นอกเหนือไปจากความเชื่อในพระคริสต์เป็นสิ่งที่อันตราย คนเหล่านั้นที่ได้พบกับการอภัยและการเติมเต็มอย่างแท้จริงในพระเยซูล้วนได้รับการช่วยกู้ให้หลุดพ้นจากการแสวงหาที่นำไปสู่ทางตัน และต่างได้รับมอบข่าวประเสริฐเรื่องการคืนดี (ดู 2 คร.5:18-21) การแบ่งปันข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูแก่ผู้ที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของความมัวเมาในชีวิต ยังคงเป็นหนทางที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อดึงผู้คนให้หลุดพ้นจากเส้นทางที่อันตราย

สุขภาพของหัวใจ

หัวใจมนุษย์เป็นอวัยวะที่น่าทึ่ง สถานีสูบน้ำขนาดเท่ากำปั้นนี้มีน้ำหนักราว 200 ถึง 425 กรัม ในแต่ละวันจะเต้นประมาณ 100,000 ครั้งและสูบฉีดเลือดราว 7,600 ลิตรผ่านหลอดเลือดในร่างกายที่ยาวประมาณ 97,000 กิโลเมตร! ด้วยภาระหน้าที่ที่มีความสำคัญและเป็นงานที่หนัก เราจึงเข้าใจได้ว่าทำไมสุขภาพของหัวใจจึงเป็นศูนย์กลางของความเป็นอยู่ที่ดีของร่างกายทุกส่วน วิทยาศาสตร์ทางการแพทย์สนับสนุนให้เราสร้างนิสัยที่ดีต่อสุขภาพเพราะสถานภาพของหัวใจเรานั้นขึ้นอยู่กับสุขภาพร่างกายของเรา

แม้ว่าวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์จะให้ข้อมูลที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับหัวใจในร่างกายของเรา แต่พระเจ้าตรัสด้วยสิทธิอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าเกี่ยวกับ “หัวใจ”อีกประเภทหนึ่ง พระองค์ทรงกล่าวถึง “ศูนย์กลาง” ด้านความคิด อารมณ์ วิญญาณและศีลธรรมของความเป็นเรา เนื่องจากหัวใจเป็นหน่วยประมวลผลกลางของชีวิต จึงจำเป็นต้องได้รับการปกป้อง “จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้าน เพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ” (สภษ.4:23) การรักษาใจจะช่วยเราในการพูด (ข้อ 24) ทำให้เรามองสิ่งต่างๆอย่างพินิจพิเคราะห์ (ข้อ 25) และเลือกทางที่ดีที่สุดสำหรับย่างเท้าของเรา (ข้อ 27) ไม่ว่าจะอยู่ในวัยใดหรือช่วงชีวิตใด เมื่อเรารักษาใจของเรา ชีวิตของเราจะได้รับการสงวนรักษา ความสัมพันธ์ของเราได้รับการปกป้อง และพระเจ้าจะทรงได้รับเกียรติ

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา